ชีวิตไม่เคยทำงานประจำ สัมภาษณ์พี่หย่อย Solopreneur UX Designer

แชร์ประสบการณ์ทำงาน Freelance 20 ปี จากเด็กบริหารสู่ UX Designer ไม่เกี่ยงงาน ทำได้ทุกอย่างสไตล์เป็ด

ชีวิตไม่เคยทำงานประจำ สัมภาษณ์พี่หย่อย Solopreneur UX Designer
สัมภาษณ์พี่หย่อย UX Designer ทำงานแบบ Solopreneur คนเดียวมา 20 ปี

"ถ้าพี่ย้อนเวลากลับไปได้ คงเริ่มทำงานในบริษัทก่อน เก็บประสบการณ์ แล้วค่อยออกมาทำงานของตัวเอง" - พี่หย่อย UX/UI (เป็ด) Designer

ตอนปลายปี 2020 แอดไปเป็นพิธีกรงาน UX Thailand mini conference ได้เจอกับพี่หย่อยครั้งแรก แกขึ้นพูดในงานเรื่องการบริหารจัดการ project UX สำหรับ freelancer และ solopreneur

จำได้ว่าพี่หย่อยเดินเข้ามาทักบอกว่า "พี่สนใจด้าน data เหมือนกันนะ" กด add friend ทันที 555+

ปีนี้พี่หย่อยอายุ 40 ต้นๆ ตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรีบริหารมา ไม่เคยทำงานเป็นพนักงานประจำเลย รับงาน freelancer ตั้งแต่ตอนปี 3-4 เป็นผู้ช่วยสอนที่โรงเรียน NetDesign

สมัยนั้นพี่หย่อยได้รับเงินค่าช่วยสอนนิดหน่อย แต่สามารถเข้าเรียนคอร์สของ Netdesign ได้ทุกคอร์สตั้งแต่ Web & Graphic Design, Photoshop, Illustrator และ Flash เป็นต้น

พอเรียนจบจากมหาวิทยาลัย NetDesign ให้โอกาสพี่หย่อยได้เป็นผู้สอนแบบเต็มตัว พี่หย่อยรับโอกาสนั้นเริ่มสอนวิชา design และรับงาน freelance มาเรื่อยๆจนถึงวันนี้ก็ 20 ปีแล้ว

Where It All Begins

ทำไมพี่หย่อยถึงสนใจงานด้าน design?

พี่หย่อยเล่าว่าตอนวัยรุ่น อยากได้กล้อง Canon EOS 300D เป็นกล้อง Digital SLR ยุคแรกๆ เก่าขนาดไหน? คือความละเอียดกล้อง 6.3 megapixel เอง รู้อายุพวกพี่เลย 555+

แต่คุณพ่อไม่ซื้อให้ พี่หย่อยเลยเริ่มทำงานพิเศษตั้งแต่ปี 3 เก็บเงินซื้อกล้องเอง แอดฟังแล้วคิดว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เกิดจากเรื่องราวเล็กๆแบบนี้แหละ

พี่หย่อยเรียนคณะบริหาร แล้วไปลงเรียนพิเศษที่ NetDesign "ตอนนั้นพี่ลงเรียนสองคอร์สมี web design กับ flash" เป็นครั้งแรกที่พี่หย่อยได้สัมผัสกับงาน design แล้วก็หลงรักมันเลย

พอเรียนจบพี่หย่อยทำงานเก็บเงิน บินไปเรียน certificate in design ที่ University of the Arts London ใช้เวลาประมาณ 8-9 เดือน เนื้อหาอาจจะสอนไม่เข้มเท่าในประเทศไทย แต่พี่หย่อยบอกว่าแค่ได้เห็นการทำงานของ designers ที่โน้นก็คุ้มแล้ว เหมือนได้เห็นโลกใหม่เลย

💡
วิธีคิดเปลี่ยน ชีวิตก็เปลี่ยน แอดว่าข้อดีของการได้ไปเรียนต่อต่างประเทศคือได้สัมผัสวัฒนธรรม และสไตล์การเรียนที่ต่างจากประเทศไทย ต้องพึ่งตัวเองมากขึ้น หาข้อมูลเองรัวๆ

ตอนเรียนที่อังกฤษ เพื่อนพี่หย่อยแนะนำให้อ่าน Smashing Magazine เว็บให้ความรู้ด้าน web & graphic design และความรู้ด้าน user experience สำหรับ designers/ developers

พี่หย่อยนั่งอ่าน Smashing Magazine แบบลืมวันลืมคืน จนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ web แบบทำงานได้จริง พอเรียนจบได้ certificate ก็กลับมาทำงานที่ไทยเพราะอยากดูแลพ่อแม่ด้วย

Thai Adobe User Group

สมัยนั้นจะมีกลุ่ม Thai Adobe User Group (TAUG) ที่สอนและแชร์ข้อมูลการใช้งาน Adobe software เป็นเว็บบอร์ดไว้แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน มีพี่ขจร Kajorn Bhirakit เป็นผู้ดูแลกลุ่ม

พี่หย่อยมีโอกาสไปเข้ากลุ่มนี้ ลงเรียนวิชา Adobe InDesign กับพี่ขจรเพื่อให้เข้าใจงานด้านสิ่งพิมพ์มากขึ้น สอบ certificates ของ Adobe เพิ่ม (พี่หย่อยสอบผ่าน 3 ใบ) และได้รับการสนับสนุนจากพี่ขจรให้เป็น influencer ด้านเว็บของ Adobe ดูแล community ของ TAUG เป็นเวลา 6 ปีเต็ม

Sidenote - พี่หย่อยบอกว่า พี่ขจรคือผู้บุกเบิกที่ทำให้ Adobe ใช้ภาษาไทยได้เลย กราบพี่ขจร

แล้วพวก certificates มีผลกับการหางาน freelance ไหม?

พี่หย่อยใช้ใบเซอร์เป็นใบเบิกทางในการทำงาน แต่ทุกวันนี้พี่หย่อยไม่ได้ต่ออายุใบเซอร์แล้ว พอทำงานถึงจุดหนึ่ง ประสบการณ์และผลงานที่เราสร้างสรรค์มีน้ำหนักมากกว่าใบเซอร์

พี่รูฟ ODDS เคยบอกแอดว่าใบเซอร์บอกแค่เรารู้อะไร ไม่ได้แปลว่าเราทำเรื่องนั้นเป็น เน้นทำ portfolio ดีกว่า (แอดเจอพี่รูฟครั้งแรกที่งาน UX Thailand mini conference เหมือนกัน)

First Client

ช่วงแรกอย่าเกี่ยงงาน ยิ่งทำงานหลากหลาย ยิ่งเก่งไว

"อย่าเกี่ยงงาน รับทุกอย่างที่เราทำได้ หลักพันหลักร้อยเราทำหมด"

ช่วงแรกรับงานให้เยอะ ยิ่งเราทำเยอะเท่าไหร่ เรายิ่งเก่งไวขึ้นเท่านั้น พี่หย่อยรับงานหมดเลยตั้งแต่ออกแบบ logo สร้างเว็บไซต์ ตัดต่อวีดีโอ และงาน graphics ต่างๆ

งานแรกของพี่หย่อยเป็นของเพื่อนที่ ABAC เค้ามีไร่อยู่ที่ปากช่องและอยากมี website พี่หย่อยเพิ่งเรียนด้านเว็บมา เลยขอทำให้ไม่รับเงินก็ได้ (แต่เพื่อนพี่หย่อยให้ค่าเสียเวลานิดหน่อย)

หลังจากลูกค้ารายแรก ก็เริ่มมีลูกค้าเข้ามาเรื่อยๆผ่านการบอกต่อ word of mouth

เริ่มจากรายได้หลักร้อย ค่อยๆอัพขึ้นถึงหลักพัน พอเรามี strong portfolio ก็จะสามารถเรียกค่าตัวได้สูงขึ้น พี่หย่อยไม่เคยเข้าหาลูกค้าก่อนเลย แนะนำต่อกันมา มาสาย inbound ซะด้วย แซว 555+

💡
พี่หย่อยบอกว่างาน freelance ช่วงแรกๆก็ยากเหมือนกัน หาลูกค้าสักคนไม่ง่ายเหมือนตอนนี้ พี่หย่อยต้องไปโพสต์ตามเว็บบอร์ดต่างๆหรือให้ลูกค้าช่วยบอกต่ออย่างเดียว

ปัจจุบันพี่หย่อยรับงาน UX/ UI design มีตั้งแต่งาน 5-6 หลัก โปรเจ็คหนึ่งทำประมาณ 3-4 เดือน แอดถามต่อว่า พี่หย่อยรู้ได้ยังไงว่าต้องขึ้นราคางานของเราแล้ว?

"ตอนเราได้สร้างผลงานบางอย่างที่เราภูมิใจ" เป็น moment ที่เรารู้ตัวเองว่าได้พัฒนาขึ้นมาอีกระดับ self-actualization พี่หย่อยเสริมต่อว่า "แต่งานที่ภูมิใจ อาจจะไม่ใช่งานที่ดีที่สุดของเรานะ 555+"

เวลามองย้อนกลับไปดูงานเก่าๆ มีอะไรที่เราปรับให้มันดีขึ้นได้เยอะเลย อย่างตัวแอดเขียนบทความครั้งแรกตอนปี 2017 กลับไปนั่งอ่านบทความแรกของตัวเอง นี่เราเขียนจริงๆหรอ 555+

พี่หย่อยให้คำแนะนำเรื่องการขึ้นราคาว่า ค่อยๆหยอดราคาเพิ่ม อย่าขึ้นแบบไม่มีเหตุผล พยายาม standardize rate card ของเราให้มีมาตรฐาน อย่าลืมเรื่อง hidden cost ที่เราจะได้เจอตอนทำงานด้วย เช่น การแก้งาน หรือ timeline ที่อาจจะเลื่อนได้

พยายามคุยกับลูกค้าบ่อยๆ ตีโจทย์ requirements ให้เคลียร์ มีความเป็น agile มากขึ้น

อีกหนึ่งเรื่องที่แอดว่าพี่หย่อยมีความเป็นมืออาชีพมากๆคือไม่กำหนดจำนวนครั้งในการแก้งาน และตั้งใจส่งมอบงานที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า (ราคาที่พี่หย่อยคิดคือรวมพวก revision cost ไว้แล้ว)

How To Get Started

ทำให้ได้หลายๆ skills แล้วโอกาสและงานจะเข้ามาเรื่อยๆ

แอดถามพี่หย่อยว่า ถ้าจะเริ่มทำ freelance ใหม่ตอนนี้ เริ่มต้นแบบไหนดีที่สุด?

"ก็เริ่มจากทำเว็บไซต์ของตัวเอง และทำทุกงานที่เข้ามาในช่วงแรกเพื่อเก็บประสบการณ์"

ทำให้ได้หลายๆ skills เป็น Generalist ตรงคอนเซ็ปต์ Duck Philosophy ยิ่งเราทำได้มากเท่าไหร่ โอกาสในชีวิตยิ่งมากขึ้นเท่านั้น พี่หย่อยใช้เป็นทุก design tools ตัวสำคัญๆ เช่น

  • Adobe
  • Sketch
  • Figma

พี่หย่อยบอกว่า "agency ทุกวันนี้ยังส่งงานให้พี่เป็นไฟล์ illustrator อยู่เลย (คิดในใจ ย้ายไป Figma ได้แล้ว 555+)"

แบ่งรายได้ส่วนหนึ่งไว้ซื้อความรู้ หนังสือดีๆ พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา สมัยก่อนยังไม่มีคอร์สออนไลน์ พี่หย่อยสั่งหนังสือ graphic design จากต่างประเทศมาศึกษาด้วยตัวเอง เล่มหนึ่งหลายพันบาท ทุกวันนี้สั่งจาก amazon มาส่งไทย สัปดาห์เดียวก็ถึงบ้านเราแล้ว

พี่หย่อยแนะนำว่า ก่อนจะออกมาทำงานของตัวเอง ลองเข้าไปเรียนรู้ระบบของบริษัทใหญ่ๆก่อนก็ได้เหมือนกัน อาจจะได้ไอเดียดีๆมาต่อยอดในงาน freelance

งานที่พี่หย่อยรับทำตอนนี้จะเป็นแนว UX/ UI design เป็นส่วนใหญ่ มีงาน brand & corporate identity เข้ามาบ้าง agency มาใช้บริการหลายเจ้า มีลูกค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

พี่หย่อยทิ้งท้าย "แต่เว็บไซต์พี่ไม่ได้อัพเดทมา 5 ปีแล้วนะ 555+"

Insight ที่แอดได้จากการคุยกับพี่หย่อยคือ พอถึงจุดหนึ่งในชีวิต ผลงานที่เราทำมาจะพูดแทนเราเอง Work hard in silence, let your success be your noise - Frank Ocean

  • ฝึกฝนทักษะ ช่วงแรกอย่าเกี่ยงงาน ทำให้ได้หลายๆอย่างเป็น generalist
  • แบ่งรายได้ส่วนหนึ่งไว้ใช้พัฒนาตัวเอง
  • สร้าง portfolio สะสมผลงานของเรา มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง
  • ลูกค้าจะแนะนำเราต่อ word of mouth จะเกิดก็ต่อเมื่อเราส่งมอบงานที่มีคุณภาพ สูงกว่าที่เค้าคาดว่าจะได้รับ คุ้มค่าเงินที่จ่าย

แอดนึกไปถึงประโยคที่ Paul Jarvis ผู้เขียนหนังสือ Company of One เคยบอกไว้ว่าในงาน freelancer เราแตกต่างจากคนอื่นๆได้เลยทันที 90% แค่เราทำสองอย่างนี้ให้ได้

ส่งงานให้ตรงเวลา on time + คุณภาพงานเกินความคาดหวัง beyond expectation แค่นี้เราก็จะกลายเป็นที่จดจำของลูกค้าแล้ว 😁 (Paul พูดไว้ง่ายๆ แต่ของจริงทำยากมาก 555+)

ขอคำถามสุดท้ายพี่หย่อย ข้อเสียของการเป็น freelance มีไหมครับ? "พี่ไม่เคยสมัครบัตรเครดิตผ่านเลย บ้าเอ้ย" ยั๊งงงงงงงงง 555+

ขอบคุณพี่หย่อยที่มาแชร์ประสบการณ์ทำงาน 20 ปีให้กับ Duck Philosophy นะครับ ยังมี solopreneur อีกหลายคนที่แอดอยากไปพูดคุยและนำ insight ดีๆมาแชร์ให้ทุกคนได้อ่าน

แล้วพบกันใหม่ใน newsletter ฉบับหน้า have a great week ahead!

PS. Duck Philosophy มี Facebook Page แล้วนะครับ มากด like, share, comment กันได้ เย้